SaaS คืออะไร
11-Apr-2022
คิดว่าหลายคนคงเคยใช้บริการ GMail, Hot Mail, Outlook.com, One Drive, Google Drive,
Google Sheets, Google Docs หรือ Microsoft 365, ฯลฯ
บริการที่กล่าวมาทั้งหมด คือ Software as a Service หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า SaaS
พูดง่าย ๆ ก็คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่มีให้บริการบนอินเทอร์เน็ต นั่นแหละครับ
หลาย ๆ คนเริ่มสงสัย แล้วมันต่างกันกับ Web Application ที่มีใช้กันอยู่ตรงไหน
เช่น เว็บไซต์ที่ใช้ซื้อขาย e-Commerce ต่าง ๆ หากดูกันตาม Wikipedia ให้คำจำกัดความไว้ว่า
Software as a service (SaaS /sæs/) is a software licensing and delivery model
in which software is licensed on a subscription basis and is centrally hosted.
แปลว่า Software as a service คือ ลิขสิทธิ์และการส่งมอบ ซอฟต์แวร์
ซึ่ง สิทธิ์การใช้งาน จะเป็นการสมัครสมาชิก และ มีการจัดการระบบต่าง ๆ จากส่วนกลาง
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ เป็นข้อ ๆ ก็คือ
- ลิขสิทธิ์ของโปรแกรม เป็นของผู้ให้บริการ
- การส่งมอบโปรแกรม เป็นเพียงการเปิดให้เข้าใช้งานเท่านั้น
- สิทธิ์การใช้งาน เป็นแบบ สมัครสมาชิก
- การจัดการต่าง เช่น ฐานข้อมูล การประมวลผล อยู่ที่ส่วนกลางทั้งหมด
SaaS เป็น รูปแบบหนึ่งใน Cloud Computing
ซึ่งความหมายของ Cloud Computing คือ การให้ทรัพยากรต่าง ๆ
เช่น ซอฟแวร์ การเก็บข้อมูล การประมวลผล ฯลฯ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้นได้โดยตรง
ต้องผ่านการดำเนินการของเจ้าของทรัพยากรเสียก่อน
ดังนั้น SaaS จึงเป็นการใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยต้องสมัครสมาชิกก่อนใช้งาน
ชำระค่าบริการรายเดือน/รายปีตามที่ผู้ให้บริการกำหนด และไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้โดยตรง
ต้อง
ถ้าบริษัทเราจ้างเขียนโปรแกรม เพื่อให้พนักงานหรือลูกค้าใช้งานบนเว็บ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
แบบนี้ ไม่ใช่ Software as a Service เพราะลิขสิทธิ์เป็นของบริษัทผู้ว่าจ้าง
และการใช้งานก็ไม่ไช่แบบ สมัครสมาชิก แต่เป็นการกำหนดผู้ใช้ตามที่บริษัทต้องการ
ข้อดีของ SaaS
- ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่าติดตั้ง ค่าบำรุงรักษา ค่าอัปเดตระบบ หรือการจัดเก็บข้อมูล
- สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลาเพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
- ไม่จำกัดประเภทของคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะใช้ Windows, Mac, Linux, Android หรือใช้งานผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์
- สามารถอัปเดตระบบได้ง่าย ๆ ผ่านระบบกลาง ไม่ต้องอัปเดตแยกทีละเครื่อง
- ข้อมูลปลอดภัยไม่สูญหาย สามารถจัดเก็บได้ง่ายขึ้นเพราะถูกรวมอยู่ในศูนย์กลาง
- คิดค่าบริการเป็นแบบ License หรือจำกัดระยะเวลาใช้งาน
เป็นรายเดือน รายปี หากไม่ใช้ก็สามารถยกเลิก License ได้
ยืดหยุ่นกว่าซอฟต์แวร์แบบถาวรที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ทีเดียว
ข้อเสียของ SaaS
- ปัญหาด้านการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตสำคัญต่อ SaaS มาก
หากอินเทอร์เน็ตช้า หรือ ไม่เสถียรก็ส่งผลต่อการใช้งาน
- ปรับแต่งขยายเพิ่มเติมได้จำกัด ขึ้นกับผู้ให้บริการเป็นหลัก
- ผู้ใช้งานไม่มีกรรมสิทธิ์ในตัวระบบ เพราะเป็นการซื้อ License
- ปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูล
ตัวอย่าง บริษัท/ผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการ SaaS
- Google : GMail, Google Drive, Googl Docs, Google Sheets, ฯลฯ
- Adobe : Creative Cloud
- Slack : โปรแกรมแชต/ทำงานร่วมกัน ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความหากันได้ วิดีโอคุยกันได้
- Shopify : แพลตฟอร์ม E-Commerce สำหรับร้านค้าออนไลน์
- Microsoft : Office 365, OneDrive, ฯลฯ
- Zoom : เครื่องมือที่ช่วยให้สามารถจัดการประชุมผ่านวิดีโอได้
- Atlassian : JIRA, Trello, Confluence
- SalesForce : ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้พนักงานขายสามารถร่วมมือประสานงานกับลูกค้าได้
- WorkDay : บริการด้านระบบการเงินและการบริหารจัดการบุคลากร
- DropBox : ระบบเก็บข้อมูลออนไลน์
ผู้สนใจเข้าใช้บริการ SaaS สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการของบริษัทตัวเองนะครับ
การเลือก SaaS ควรพิจารณาด้านความน่าเชื่อถือของ SaaS นั้นด้วยครับ
Zeta K.